เสียง : Sound Track

5.9

หนังเรื่อง The Visitor from the Future (2022) เป็นหนังฝรั่งแนวแอ็กชัน ผจญภัย ตลก วิทยาศาสตร์ แฟนตาซี อำนวยการสร้างโดย โรบิน บอสฟลุค และ สเตฟาน พาร์เธเนย์ กำกับภาพโดย มัตติเยอ มิซิรากา ตัดต่อภาพโดย เควนติน ไอเดน เขียนบทและกำกับการแสดงโดย ฟร็องซัว เดสคราคส์ มาพร้อมกับนักแสดงนำมากมาย ได้แก่ ฟลอร็องต์ โดริน รับบทเป็น ผู้มาเยือนจากอนาคต, เอนยา บารูซ์ รับบทเป็น อลิซ อัลลิเบิร์ต, อาร์โนด์ ดูเครต รับบทเป็น กิลเบิร์ต, ราฟาเอล เดสคราเกส รับบทเป็น ราฟ, และ สลิมาน-บัปติสต์ เบอร์ฮูน รับบทเป็น ดร. เฮนรี่ คาสตาโฟลเต (พากย์เสียงเป็น ติโม ไวส์ ชนัวร์)

เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งหนึ่งซึ่งคาดว่าในอนาคตอาจจะเกิดระเบิดขึ้นได้ จึงทำให้เหล่าวิศวกรเร่งมือทำทุกอย่างเพื่อปกป้องโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นมา และอยู่มาวันหนึ่งก็มีชายแปลกหน้าซึ่งเป็นนักเดินทางเข้ามาที่โรงงานแล้วบอกว่าตนเองมาจากอนาคต แถมยังให้คำปรึกษาต่าง ๆ เกี่ยวกับการตัดสายไฟ และแนะนำการใช้เครื่องมือสำหรับกดปุ่มปิดโรงงานแห่งนี้ แต่กลับมีเจ้าหน้าที่คนอื่นเข้ามากดปุ่มอื่นแทนจึงทำให้โรงงานนิวเคลียร์ระเบิดในที่สุด นอกจากนี้นักเดินทางแปลกหน้าคนนี้ยังพาทุกคนในโรงงานย้อนเวลากลับไปในปี พ.ศ. 2555 ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้มีเพียงคนเดียวที่ช่วยให้โรงงานหยุดระเบิดได้คือชายแปลกหน้าคนนี้นั่นเอง และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่จะเปลี่ยนโรงงานนิวเคลียร์ในอนาคตได้ สำหรับใครที่อยากจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโลก และโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในอนาคต เชิญมาลุ้นติดตามต่อที่นี่ได้เลย

หลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว ขอสรุปว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังแนวแอ็กชัน ผจญภัย ตลก วิทยาศาสตร์ โดยเนื้อหาภายในหนังเรื่องนี้จะมีวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งก็คืออนาคตของโลกกับโรงงานนิวเคลียร์ที่ใกล้ล่มสลาย นักเดินทางเลยต้องเข้ามาช่วยหยุดการระเบิดของโรงงานเพื่อความสงบสุขของโลกใบนี้ สำหรับพล็อตเรื่องนี้ถือว่าทำออกมาได้พอใช้ ส่วนจุดเด่นของหนังเรื่องนี้คือมีการสอดแทรกมุกตลกออกมาเป็นระยะเพื่อสร้างความบันเทิงให้คอหนัง แถมมีนักสิ่งแวดล้อมเข้ามาต่อต้านการสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ด้วย จึงเป็นการสะท้อนให้คนดูเห็นว่าโลกนี้มีความสำคัญต่อมนุษย์ทุกคน เราต้องรักษา และทำทุกอย่างเพื่อให้ธรรมชาติอยู่กับเรานานที่สุด นอกจากนี้ด้านฉากแอ็กชันใช้เอฟเฟกต์เข้ามาช่วยทำให้องค์ประกอบภายในหนังดูมีความลงตัว ส่วนการดำเนินเรื่องก็ทำออกมาได้ดีเช่นกัน เพราะเปิดเรื่องราวด้วยหายนะที่จะมาพร้อมกับจุดจบของโลกในอนาคตด้วยการนำเรื่องจริงของโรงงานนิวเคลียร์ในปัจจุบันมาเพิ่มเนื้อหาในเรื่องให้มีความเข้มข้นมากขึ้น แต่จุดด้อยของหนังก็คือต้องมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถหยุดทุกอย่างที่คาดว่าจะเกิดขึ้นบนโลกได้ ซึ่งมันเป็นสไตล์ของหนังแนวนี้อยู่แล้ว ถ้าเปลี่ยนแปลงจุดนี้ได้ คนดูจะรู้สึกตื่นเต้น และสนุกขณะรับชมมากกว่านี้ นอกจากนี้ในส่วนของเทคนิคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฉาก แสง สี และองค์ประกอบอื่นภายในหนังโดยรวมแล้วไม่ได้แย่จนถึงขั้นดูไม่ได้ ดังนั้นคะแนนภาพรวมทั้งหมดของหนังเรื่องนี้เราให้อยู่ที่ 5 เต็ม 10 คะแนน